สรุป SCBX ยานแม่ใหม่ของ SCB /โดย ลงทุนแมน
หลังจากที่ได้รายงานข่าวด่วนของ SCB เกี่ยวกับการนำบริษัทออกจากตลาด
และจะมีการแลกหุ้นบริษัทใหม่ ชื่อว่า “SCBX” ในโพสต์ที่แล้ว
https://www.facebook.com/113397052526245/posts/1148880625644544
เรามาดูกันต่อว่า SCB ทำแบบนี้ เพราะอะไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ทางบริษัทได้ให้เหตุผลว่าการจัดตั้ง SCBX ขึ้น เพื่อทำให้ธุรกิจยังคงมีความสามารถในการแข่งขันและเติบโตได้ โดย SCB ให้คำนิยามกับ SCBX ว่าเป็น Mothership หรือ “ยานแม่”
เพราะปัจจุบัน แม้ว่า SCB จะมีธุรกิจอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากสถาบันการเงิน เช่น SCB10X ที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
แต่ด้วยความที่ยังอยู่ภายใต้โครงสร้างของแบงก์ จึงทำให้มีข้อจำกัดและดำเนินกิจการได้ไม่เต็มที่
โดยโครงสร้างใหม่ภายใต้บริษัทแม่อย่าง SCBX จะทำให้บริษัทสามารถแบ่งรูปแบบของธุรกิจได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ก็คือ
1. ธุรกิจ Cash Cow ซึ่งก็คือ ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจประกัน
2. ธุรกิจ New Growth
จากการแบ่งกลุ่มธุรกิจ จะเห็นได้ว่า SCB พยายามแยกธุรกิจแบงก์กับธุรกิจอื่นออกจากกัน
ซึ่งก็จะทำให้ธุรกิจใหม่ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบและกฎเกณฑ์ของธุรกิจธนาคารเดิม
และจากการแถลงเกี่ยวกับธุรกิจ New Growth
สิ่งที่เห็น ก็คือ SCB จะย่อยแต่ละธุรกิจออกเป็นบริษัทย่อย
ซึ่งแต่ละบริษัท ก็จะมีทีมและมีผู้บริหาร ซึ่งแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง เช่น
- Card X บริษัทที่โอนกิจการออกมาจาก SCB (Spin-Off) ทำธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลและบัตรเครดิต โดยน่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในเร็ว ๆ นี้
- Alpha X บริษัทที่ร่วมมือกับ Millennium Group ปล่อยสินเชื่อให้กับเจ้าของรถหรูและยานพาหนะทางน้ำ เช่น เรือยอช์ต
- Tech X ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ทำธุรกิจเทคโนโลยี
- AISCB ร่วมมือกับ AIS ทำสินเชื่อ Digital
โดยบริษัท ก็ได้ตั้งเป้าหมายให้แต่ละบริษัทย่อย สามารถเติบโตและ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วยตัวเอง
ซึ่งการเติบโตที่ว่านั้น ก็จะรวมไปถึงการรุกธุรกิจไปยังต่างประเทศในระดับภูมิภาค เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม เพื่อสร้างการเติบโตให้กับฐานลูกค้า ที่ปัจจุบันมีอยู่ 14 ล้านราย ให้เป็น 200 ล้านราย
โดยบริษัททั้งหมดในเครือ มีมูลค่ารวมกันราว “1 ล้านล้านบาท” ในอนาคต
ในขณะเดียวกัน SCB ก็ได้ประกาศจัดตั้งกองทุน Venture Capital ขนาด 600 - 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20,100 - 26,800 ล้านบาท) ร่วมกับเครือซีพี โดยมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีด้านบล็อกเชน, สินทรัพย์ดิจิทัล, Decentralized Finance, FinTech และเทคโนโลยีอื่น ๆ
โดยกองทุน Venture Capital นี้ เครือเจริญโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ จะลงทุนเป็นจำนวนเงิน ฝ่ายละ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือจะระดมทุนจากนักลงทุนที่ได้รับการรับรอง (Accredited Investor)
สำหรับทีม SCB10X เดิม บางส่วนก็จะเข้ามาร่วมทำงานใน Venture Capital ใหม่นี้
นอกจากนั้น SCBX ที่เป็นยานแม่ที่ทำตัวเป็นบริษัทโฮลดิงก็ยังถือหุ้นในอีกหลายธุรกิจ เช่น
- Auto X ธุรกิจปล่อยสินเชื่อ ลีสซิ่ง เน้นกลุ่มรากหญ้า
- SCB Securities ทำธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่ง SCB Securities จะถือหุ้นใน Token X ที่ดูแลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
- Purple Ventures ที่ทำธุรกิจส่งอาหารชื่อ Robinhood ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี
- SCB ABACUS ที่ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อออนไลน์ “เงินทันเด้อ” โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่เพิ่งคว้าเงินระดมทุน 400 ล้านบาท
โดยโครงสร้างใหม่จะทำให้แยกธุรกิจธนาคาร SCB เดิม ออกมาจากธุรกิจอื่น ๆ โดยมี SCBX เป็นบริษัทโฮลดิงเสมือนเป็นผู้ดูแลจัดการการลงทุนธุรกิจในเครืออีกทีหนึ่ง
สำหรับขั้นตอนต่อไปก็คือ SCB จะให้ผู้ถือหุ้น SCB เดิม ทำการแลกหุ้นกับ SCBX ต่อมาก็จะเพิกถอน SCB ออกจากตลาดหลักทรัพย์
และหลังจากนั้นจะให้ SCB เดิมจ่ายเงินปันผลมูลค่า 70,000 ล้านบาทให้กับ SCBX
เมื่อ SCBX ได้รับเงินปันผลมา จะนำเงินประมาณ 70% หรือคิดเป็น 49,000 ล้านบาท ไปใช้ในการจัดตั้งธุรกิจใหม่ ตามที่ได้กล่าวมา
ส่วนอีก 30% หรือคิดเป็น 21,000 ล้านบาท จะถูกนำออกมาจ่ายเป็นปันผลพิเศษให้กับผู้ถือหุ้น SCBX ซึ่งคาดว่าจะจ่ายได้ในช่วงปีหน้า ซึ่งถ้าเทียบ 21,000 ล้านบาท กับ Market Cap ของ SCB ตอนนี้ที่ 365,000 ล้านบาท ก็จะได้ประมาณ 5.7%
จากแผนการทั้งหมดนี้นับเป็น Big Move ที่ SCB กล้าตัดสินใจ
และดูเหมือน SCB ต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง
แต่ถ้าดูจากอดีตเสมอมา
SCB ก็เป็นคนที่กล้าเป็นผู้นำ ที่ทำอะไรที่เกินคาด แบบนี้มาตลอด
- ตั้งแต่ลดค่าธรรมเนียมการโอนข้ามธนาคาร เป็น 0 บาท
จนธนาคารอื่นต้องปรับให้เป็น 0 บาทตามกันหมด ซึ่งแน่นอนว่าธนาคารสูญเสียรายได้มหาศาล
แต่รู้ไหมว่า การทำแบบนี้ เท่ากับปิดประตู คู่แข่งเกิดใหม่ด้าน Payment ที่จะเข้ามาแข่งได้
ซึ่งถ้าดูจากเมืองนอกที่ผู้คนหันไปใช้แอป Payment ใหม่เกิดเป็นยูนิคอร์นมากมายในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทย คนไทยยังใช้แอปธนาคารในการจ่ายเงิน ซึ่ง Move ตอนนั้นของ SCB น่าจะเป็นสิ่งที่ได้ผลคุ้มค่าสิ่งที่เสียไป
- หรือการกล้าทำแอป Robinhood ที่ไม่คิดค่า GP ที่ช่วยเหลือร้านอาหารเล็ก ๆ ให้มีทางเลือก ถึงแม้มันจะขาดทุน แต่ในวันนี้ Robinhood ก็ยืนแข่งกับผู้เล่นต่างประเทศได้อย่างสบาย และก็น่าจะมีมูลค่าซ่อนอยู่ในแพลตฟอร์มนี้อยู่ไม่น้อย
ในวันที่ธุรกิจธนาคารเดิม ค่อย ๆ ถูกกัดกินส่วนแบ่งตลาด จากธุรกิจข้ามอุตสาหกรรม
มันก็จะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง นั่นก็คือ
1. อยู่เฉย ๆ รอให้ทุกคนเข้ามารุม
2. ลุกขึ้น แล้วปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินธุรกิจ ให้เข้ากับยุคสมัย
และสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ SCB เลือกแบบที่ 2
ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเป็นทางเดินที่ได้ผลดีหรือร้ายอย่างไร
แต่ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้
ถ้าเราต้องรอจนชัดเจนว่าควรเลือกอะไร
ถึงเวลานั้น มันอาจจะไม่เหลืออะไรให้เราเลือกแล้ว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-งานแถลงข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์
-https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16322678076521
-https://www.set.or.th/set/pdfnews.do?newsId=16322678080101
decentralized website 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
กรณีศึกษา จากอินฟลูเอนเซอร์ TikTok สู่เจ้าของ Venture Capital /โดย ลงทุนแมน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ กลุ่มคนที่มีพลังในการโน้มน้าวเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก คือ “อินฟลูเอนเซอร์” บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ
ซึ่งในอนาคต เราอาจได้เห็นพวกเขาแผ่ขยายอิทธิพล เข้ามามีส่วนชี้นำทิศทางในโลกธุรกิจด้วย
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว คือ กรณีของคุณ “Josh Richards” ซึ่งเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก TikTok ที่ตอนนี้ได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ขึ้นมา เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่
แล้วอินฟลูเอนเซอร์ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในวงการ Venture Capital ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรามาทำความรู้จักตัวละครหลักของเรื่องนี้กันก่อน คือ คุณ Josh Richards เป็นเด็กหนุ่มชาวแคนาดา เกิดเมื่อปี 2002 ปัจจุบันมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
เขาเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จากการทำคลิปวิดีโอเต้นและลิปซิงก์ใน TikTok โดยล่าสุด มีผู้ติดตามถึง 25.5 ล้านบัญชี
ในปี 2020 นิตยสาร Forbes ได้มีการประเมินว่า คุณ Richards สามารถสร้างรายได้ค่าสปอนเซอร์โฆษณาสินค้าประมาณ 49 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของแพลตฟอร์ม TikTok
แต่นอกจากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย เขายังมีความฝันที่จะเป็นมหาเศรษฐีระดับ Billionaire คือมีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำธุรกิจและลงทุนอีกด้วย
โดยก่อนหน้านี้ คุณ Richards ได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่โลกธุรกิจในหลายบทบาท เช่น
- เป็นผู้บริหารด้านกลยุทธ์ของ Triller แพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น คู่แข่ง TikTok
- ร่วมก่อตั้งบริษัท TalentX Entertainment ค่ายดูแลอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย
- ร่วมก่อตั้งบริษัท Ani Energy ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง
- เป็นพาร์ตเนอร์ของ Remi Capital บริษัทลงทุนแนว Venture Capital สัญชาติออสเตรเลีย
และในปี 2021 เขาได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Venture Capital ของตัวเอง ชื่อว่า “Animal Capital” ร่วมกับกลุ่มเพื่อนอินฟลูเอนเซอร์ ด้วยเงินทุนเริ่มต้นราว 490 ล้านบาท
โดยบริษัทมีนักธุรกิจชื่อดังหลายราย เข้าร่วมลงทุนและคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- คุณ Kevin Mayer อดีตซีอีโอ TikTok
- คุณ Sean Rad ผู้ร่วมก่อตั้ง Tinder
- คุณ Justin Kan ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitch
- คู่แฝดมหาเศรษฐี Tyler และ Cameron Winklevoss อดีตคู่อริที่เคยฟ้องร้อง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าขโมยไอเดียของพวกเขาไปสร้างเฟซบุ๊ก
แล้ว Animal Capital ของคุณ Josh Richards แตกต่างจาก Venture Capital ทั่วไปอย่างไร ?
คุณ Richards เล็งเห็นว่า อิทธิพลที่อินฟลูเอนเซอร์มีต่อผู้บริโภค เป็นจุดเด่นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อยอดกับการลงทุนได้อย่างมหาศาล
กลยุทธ์ของ Animal Capital คือ การเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัป ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นกิจการ จากนั้นก็จะนำเอาสินค้าหรือบริการของบริษัท มาทำการตลาดออนไลน์ช่องทางโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์
ซึ่งนอกจากคุณ Richards แล้ว พาร์ตเนอร์คนอื่นก็โด่งดังใน TikTok ไม่แพ้กัน อย่างเช่น คุณ Griffin Johnson ที่มีผู้ติดตาม 10.8 ล้านราย และคุณ Noah Beck ที่มีผู้ติดตาม 30.2 ล้านราย
โดย Animal Capital กล่าวว่า อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของบริษัท มียอดผู้ติดตามทั้งใน TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ รวมทั้งหมดกว่า 100 ล้านบัญชี
นั่นหมายความว่า Animal Capital สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของสตาร์ตอัปที่บริษัทลงทุน ให้ผ่านสายตาผู้บริโภค 100 ล้านราย ได้ทันที และมีโอกาสสูงมากที่หลายคนจะทดลองใช้งาน ตามการโน้มน้าวของอินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ
ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ทางฝั่งสตาร์ตอัปได้ฐานลูกค้า และกระแสตอบรับจากการใช้งานจริง เพื่อมาปรับปรุงธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
ในขณะที่ Animal Capital ก็อาจได้ผลตอบแทนสูง หากบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ คุณ Richards บอกว่า เขาเคยใช้วิธีการนี้สำเร็จมาแล้ว จากการลงทุนส่วนตัวในแพลตฟอร์มทายผลกีฬา ชื่อว่า VersusGame และทำคอนเทนต์แนะนำแพลตฟอร์ม VersusGame ลงในโซเชียลมีเดียของตัวเอง
ทำให้ตอนนี้ VersusGame มีผู้ใช้งาน 7 ล้านราย และสามารถระดมเงินทุนได้ราว 100 ล้านบาท แม้เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2019
ในปัจจุบัน Animal Capital มีการเข้าไปลงทุนในบริษัท ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนยุค Generation Z ซึ่งเป็นฐานผู้ติดตามหลักของอินฟลูเอนเซอร์ เช่น
- WHOOP สตาร์ตอัปเทคโนโลยีติดตามข้อมูลสุขภาพ และการออกกำลังกาย
- Lolli แอปพลิเคชันรับเงินคืนเป็น Bitcoin หลังจากช็อปปิงออนไลน์
- Deux Foods บริษัทผลิตคุกกี้ ที่ใช้ส่วนผสมเพื่อสุขภาพ
- WonderFi แพลตฟอร์มธุรกรรมการเงินแบบ Decentralized Finance (DeFi)
- Whatnot แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิง สำหรับซื้อขายสินค้าออนไลน์
- Parallel Learning สตาร์ตอัปเทคโนโลยีวัดผลการเรียน
ก็น่าติดตามต่อไปว่า หากคุณ Josh Richards และบริษัท Animal Capital ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สามารถประสบความสำเร็จ ในอนาคต เราอาจได้เห็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ เข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี และวงการ Venture Capital มากขึ้น ก็เป็นได้
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วและมากที่สุด เพื่อสร้างความคุ้นเคยต่อแบรนด์
ซึ่งคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ อาจไม่ใช่นักธุรกิจ หรือผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน
แต่เป็น อินฟลูเอนเซอร์ ที่สามารถกำหนดเทรนด์ ให้ผู้ติดตามหลายล้านรายทำตามได้ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่จะเป็นพาร์ตเนอร์กับอินฟลูเอนเซอร์ คงต้องพิจารณาข้อมูลให้ละเอียด
เพราะถ้าหากคนที่ร่วมทำธุรกิจด้วย มีข่าวอื้อฉาวในแง่ลบแม้เพียงนิดเดียว
มันก็อาจเป็นดาบสองคม ที่ทำให้ผู้บริโภค เลิกใช้สินค้าได้เช่นกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://edition.cnn.com/2021/04/30/business/josh-richards-tiktok-investing-venture-capital/index.html
-https://www.crunchbase.com/organization/animal-capital/recent_investments
-https://www.intheknow.com/post/josh-richards/
-https://www.animalcapital.co/introduction
-https://www.prnewswire.com/news-releases/versusgame-secures-3-million-in-funding-from-top-music-artists-and-entertainment-producers-301347748.html
decentralized website 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
คู่แฝด Winklevoss จากคู่อริ ซักเคอร์เบิร์ก สู่เศรษฐีบิตคอยน์ /โดย ลงทุนแมน
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Social Network คงจะจำฝาแฝด ที่ฟ้องร้อง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าขโมยไอเดียของพวกเขาไปสร้างเฟซบุ๊กกันได้
ทั้งสองคน คือ Cameron และ Tyler ฝาแฝดตระกูล Winklevoss
ซึ่งฉากสุดท้ายในภาพยนตร์ จบลงตรงที่พวกเขาเรียกร้องเงินชดเชยมูลค่ามหาศาล แลกกับการยอมคดีความ
แล้วชีวิตจริงหลังจากนั้นของคู่แฝด Winklevoss เป็นอย่างไรต่อ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ร่วมติดตามข่าวสารคริปโทเคอร์เรนซี จากมุมมองหลายเพจ ได้ในแพลตฟอร์ม Blockdit ลองอ่านตัวอย่างได้ที่ www.blockdit.com/explore/cryptocurrency
╚═══════════╝
คุณ Cameron และ Tyler Winklevoss เป็นนักลงทุนชาวอเมริกัน
เกิดเมื่อปี 1981 ปัจจุบันมีอายุ 39 ปี
พวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถอยู่หลายด้าน
โดยด้านการศึกษา เรียนจบปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย Harvard และปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัย Oxford
ส่วนด้านกีฬา ทั้งคู่เป็นตัวแทนนักกีฬาพายเรือทีมชาติสหรัฐอเมริกา ไปแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี 2008 และทำเวลาได้เป็นอันดับ 6 ของรายการ
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้สังคมรู้จักชื่อ Winklevoss
คงต้องย้อนไปเมื่อปี 2003 สมัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard
ในขณะนั้น Cameron และ Tyler มีไอเดีย ต้องการสร้างเครือข่ายสังคมบนโลกออนไลน์ เพื่อเชื่อมต่อนักศึกษาทุกคนเข้าหากัน ชื่อว่า HarvardConnection
ซึ่งต่อมา พวกเขาได้รู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จึงชักชวนให้มาช่วยเขียนโปรแกรมเว็บไซต์ดังกล่าว
แต่ผ่านมาถึง เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2004 ขณะที่ HarvardConnection ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
ปรากฏว่า มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ ชื่อว่า TheFacebook ซึ่งเป็นสังคมออนไลน์ในลักษณะคล้ายกัน
และอย่างที่ทุกคนรู้ว่าเฟซบุ๊กเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ของโลก มีผู้ใช้งานกว่า 2,800 ล้านบัญชี
ซึ่งคู่แฝด Winklevoss มองว่า พวกเขาถูกขโมยไอเดีย และโคดโปรแกรมบางส่วนถูกนำไปใช้สร้างเฟซบุ๊กจึงได้ตัดสินใจดำเนินการยื่นฟ้องร้องคดี บริษัทเฟซบุ๊ก
จนสุดท้ายในปี 2008 ก็ได้มีการตกลงยอมความกัน โดยฝั่ง Winklevoss ได้รับค่าชดเชยเป็นเงิน 630 ล้านบาท และหุ้นเฟซบุ๊ก มูลค่า 1,400 ล้านบาท
ต่อมา หลังจากจบปัญหากับเฟซบุ๊กแล้ว
พวกเขานำเงินที่ได้รับชดเชย ไปก่อตั้งกองทุน Venture Capital เพื่อหาโอกาสลงทุนในสตาร์ตอัป อย่างไรก็ตามไม่มีบริษัทไหนอยากได้เงินลงทุนจากพวกเขาเลย
แต่อยู่มาวันหนึ่ง พวกเขาก็พบสินทรัพย์ที่น่าสนใจ และสามารถลงทุนได้เองทันที
สิ่งนั้นก็คือ “บิตคอยน์”
Winklevoss วิเคราะห์ว่าในอนาคต บิตคอยน์จะก้าวขึ้นมาเป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ รวมทั้งรักษาความมั่งคั่งได้ เหมือนกับทองคำ
จึงทยอยเข้าซื้อบิตคอยน์ ด้วยเงิน 340 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2012-2013 และถือลงทุนแบบระยะยาว
โดยพวกเขาอ้างว่า พวกเขาถือครองบิตคอยน์ อยู่จำนวน 1% ของเหรียญทั้งหมดในตลาดตอนนี้ หรือเกือบ 180,000 เหรียญ ซึ่งถ้าเป็นจริงตามคำกล่าวอ้างของพวกเขานั้น ก็จะประมาณการได้ว่า ต้นทุนเฉลี่ยต่อเหรียญของพวกเขา อยู่ที่เพียง ไม่ถึง 1,900 บาทต่อเหรียญ เท่านั้น
ในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าโลกจะหมุนไปตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้
เพราะหลายฝ่าย ต่างเริ่มยอมรับและใช้ประโยชน์จากบิตคอยน์กันมากขึ้น
ทำให้ราคาซื้อขายบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้น จนมีราคาเหนือหลักล้านบาท
ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้น “หลายร้อยเท่า” จากประมาณการต้นทุนเฉลี่ยของพวกเขา
ส่งผลให้คู่แฝด Winklevoss กลายเป็นมหาเศรษฐีในระดับ Billionaire
โดยในปี 2020 นิตยสาร Forbes ประเมินว่า ทั้งคู่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมกัน อยู่ที่ราว 188,000 ล้านบาท
นอกจากนั้น พวกเขายังทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ คริปโทเคอร์เรนซีด้วย
ในปี 2014 ทั้งคู่ได้ก่อตั้ง Gemini แพลตฟอร์มตลาดซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี
ซึ่งในปัจจุบัน เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มชั้นนำของโลก มีมูลค่าการซื้อขายประมาณ 16,500 ล้านบาทต่อวัน
และในปี 2019 บริษัท Gemini ได้เข้าซื้อกิจการของ Nifty Gateway แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ Non-Fungible Token (NFT) ที่กำลังมาแรงในขณะนี้
โดยอ้างอิงข้อมูลจาก CryptoArt.io แพลตฟอร์ม Nifty Gateway ถือเป็นตลาดซื้อขาย NFT ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 มีมูลค่าการซื้อขาย 2,300 ล้านบาท คิดเป็น 82% ของตลาดซื้อขาย NFT
เดือนมีนาคม ปี 2021 มีมูลค่าการซื้อขาย 4,100 ล้านบาท คิดเป็น 70% ของตลาดซื้อขาย NFT
ซึ่ง Nifty Gateway มีการเก็บค่าคอมมิชชันจากผู้ขาย NFT ที่อัตรา 15% ของมูลค่าการซื้อขาย
ทั้งนี้ Winklevoss มีแผนที่จะเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม Gemini และ Nifty Gateway เข้าด้วยกัน
เพื่อต่อยอดให้บริการสินเชื่อคริปโทเคอร์เรนซี ที่ค้ำประกันด้วยสินทรัพย์ NFT ได้
ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของระบบการเงินไร้ตัวกลาง หรือ Decentralized Finance (DeFi) ที่มีโอกาสเติบโตสูงมากในอนาคต
แน่นอนว่า คู่แฝด Winklevoss คงเสียดายโอกาสในการก่อตั้งธุรกิจโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่หากเกิดขึ้นก่อน อาจมาแทนที่เฟซบุ๊กทุกวันนี้ ก็เป็นได้
แต่ประเด็นที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพลาดไป แต่พวกเขาก็ยังไม่หยุดมองหาโอกาสที่น่าสนใจใหม่ ๆ จนพวกเขาได้รู้จักและลงทุนในบิตคอยน์ในช่วงเริ่มต้น
ทำให้ค่าชดเชยที่พวกเขาได้รับจากการฟ้องร้องเฟซบุ๊กในตอนนั้น เป็นแค่เศษเสี้ยวของ มูลค่าทรัพย์สินของพวกเขาในตอนนี้..
คำเตือน: บทความนี้ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
╔═══════════╗
ร่วมติดตามข่าวสารคริปโทเคอร์เรนซี จากมุมมองหลายเพจ ได้ในแพลตฟอร์ม Blockdit ลองอ่านตัวอย่างได้ที่ www.blockdit.com/explore/cryptocurrency
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.entrepreneur.com/article/369372
-https://www.celebritynetworth.com/articles/billionaire-news/what-have-the-winklevoss-twins-been-up-to/
-https://www.cnbc.com/2017/12/04/winklevoss-twins-may-have-become-first-bitcoin-billionaires.html
-https://coinmarketcap.com/rankings/exchanges/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tyler_Winklevoss