รู้จักเหรียญ Stablecoin เหรียญคงที่ ที่อาจไม่คงที่ /โดย ลงทุนแมน
แม้ว่าปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซีเริ่มถูกยอมรับ จากเหล่านักลงทุนและบริษัทเอกชน
แต่มีหลายคนกังวลว่าสกุลเงินเหล่านี้ยังคงไม่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตจริงมากนัก
สาเหตุสำคัญก็เพราะราคาของมันผันผวนรุนแรงเกินไป ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนที่ดี
ยกตัวอย่างเช่น บิตคอยน์ ต้นปีมีราคาที่ 8.8 แสนบาท แต่เคยขึ้นสูงสุดไปถึง 2.1 ล้านบาท
และลงมาต่ำสุดระหว่างปีที่ 9.5 แสนบาท
เห็นได้ว่า ขนาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 1 ยังมีราคาผันผวนมากขนาดนี้
คริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ก็จะมีความผันผวนที่สูงไม่แพ้กัน
และด้วยสาเหตุหลักนี้เอง จึงทำให้ Stablecoin เกิดขึ้นมา ซึ่งคนที่สร้างเหรียญประเภทนี้ ต้องการให้มันเป็นเหรียญที่มีมูลค่าค่อนข้างคงที่ โดยส่วนใหญ่แล้วจะอิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น USDT ที่คนสร้างอยากให้มีราคาเทียบเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐอยู่เสมอ
ด้วยราคาที่ไม่ค่อยผันผวน จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักลงทุนสาย Conservative ใช้ในแพลตฟอร์ม DeFi หรือเรียกกันว่าการฟาร์ม นอกจากนั้น Stablecoin ยังถือเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่นิยมถือไว้เพื่อพักเงิน ในช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกำลังปรับฐานหรืออยู่ในช่วงขาลง
แต่การถือ Stablecoin นั้นปลอดภัยมากขนาดไหน ?
แล้ว Stablecoin มีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
เปิดบัญชีผ่าน Radars Point ที่ > https://bit.ly/3EEOz9C
╚═══════════╝
เมื่อพูดถึง Stablecoin มือใหม่ส่วนใหญ่คงจะนึกถึงเพียงแค่ USDT และ USDC เท่านั้น
และอาจคิดว่าสกุลแต่ละเหรียญ ไม่มีความแตกต่างกัน เป็นเพียงแค่คริปโทเคอร์เรนซีที่อิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐเพียงอย่างเดียว
แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว มีคริปโทเคอร์เรนซีอีกถึง 200 สกุล ที่เป็น Stablecoin เช่นเดียวกัน
และแต่ละสกุลยังมีประเภทและรายละเอียดที่แตกต่างกันด้วย
เริ่มจากสกุลเงินที่ทุกคนคุ้นเคยก่อนเลยคือ USDT
Stablecoin แบบนี้ ถูกเรียกว่า Fiat Backed Stablecoin
หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นคริปโทเคอร์เรนซีที่ผูกกับเงินตราประเทศต่าง ๆ แบบ 1:1
ตามหลักการ คริปโทเคอร์เรนซีประเภทนี้จะถูกผลิตขึ้น เมื่อเรานำเงิน Fiat อย่างเงินบาทหรือดอลลาร์สหรัฐ ไปล็อกกับตัวกลางที่ทำหน้าที่ผลิตคริปโทเคอร์เรนซีนั้น ๆ ออกมา
เช่น เรานำเงินดอลลาร์สหรัฐไปล็อกไว้กับบริษัท Tether เพื่อสร้าง USDT
หรือหากไปล็อกกับบริษัท Centre ก็จะได้เป็น USDC ออกมานั่นเอง
แม้ว่า Stablecoin นี้จะได้รับความนิยมมากสุด เมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ
แต่มีข้อน่ากังวลอย่างหนึ่งคือ บริษัทที่สร้างเหรียญพวกนี้ขึ้นมา มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน
เพราะต้องไม่ลืมว่า หากบริษัทนำเงินที่ควรจะเก็บกลับไปใช้ทำอย่างอื่น เช่น ปล่อยกู้ต่อ หรือซื้อตราสารหนี้เอกชน นั่นก็ถือว่า Stablecoin ไม่ได้ผูกกับเงินตราประเทศต่าง ๆ แบบ 1:1 แล้ว
อย่าง USDT ที่ออกโดย Tether ก็มีความกังวลด้านความโปร่งใสเกี่ยวกับเงินที่นำมาสำรอง เพราะ
จากข้อมูลที่เปิดเผย ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2021 สินทรัพย์ที่หนุน USDT ประกอบไปด้วย
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 84.9%
สินเชื่อแบบมีหลักประกัน 4.0%
หุ้นกู้, กองทุน และโลหะมีค่า 7.3%
การลงทุนอื่น ๆ 3.8%
จะเห็นได้ว่าสัดส่วน 15% นั้น ไม่ใช่เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ซึ่งก็อาจแปลได้ว่าบริษัทนำเงินที่หนุนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงขึ้นเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ปัจจุบัน Stablecoin กลุ่มนี้ยังไม่เคยเจอปัญหาการขาดความเชื่อมั่นมาก่อน จึงยังสามารถครองใจนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดได้อยู่
แต่บางคนที่อ่านถึงตรงนี้ คงเอะใจว่า ทำไมคริปโทเคอร์เรนซีพวกนี้ยังอิงกับดอลลาร์สหรัฐอยู่เลย ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกตัวเองบอกว่าสร้างคริปโทเคอร์เรนซีทั้งหลายขึ้นมา เพื่อไม่ต้องพึ่งเงิน Fiat ที่ควบคุมโดยรัฐบาล
นั่นจึงเป็นที่มาของ Stablecoin ประเภทที่สองคือ Crypto Backed Stablecoin
หรือ Stablecoin ที่ค้ำด้วยคริปโทเคอร์เรนซี
คือเดิมทีเราต้องนำเงิน Fiat ไปล็อก เพื่อให้ได้ Stablecoin ออกมา
แต่ด้วย Stablecoin ประเภทนี้สามารถทำได้ด้วยการเอาคริปโทเคอร์เรนซีทั่วไป เช่น BTC, ETH ไปวางค้ำประกัน เพื่อแลกเหรียญแทนได้เลย ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงิน Fiat อีกต่อไป
เรียกได้ว่าเป็น Stablecoin ของโลกคริปโทเคอร์เรนซีอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีแต่ละสกุลนั้นมีความผันผวนค่อนข้างสูง
นั่นทำให้เกิดข้อเสียคือ การวางเงินค้ำประกันจำเป็นต้องใช้จำนวนเงินที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จะได้รับ
ตัวอย่างเช่น หากเราอยากได้ Dai ที่เป็น Stablecoin มูลค่ารวม 100 ดอลลาร์สหรัฐ จากโปรเจกต์ MakerDAO เราจะต้องนำคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ มาวางค้ำประกันที่ 150 ดอลลาร์สหรัฐ ไม่ใช่วางค้ำประกันที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากัน
ข้อเสียอีกอย่างที่ตามมา จากการใช้คริปโทเคอร์เรนซีวางค้ำประกัน คือ การโดนยึดเงินค้ำประกัน
หากมูลค่าเหรียญที่วางค้ำประกันนั้นต่ำกว่ามูลค่า Stablecoin ที่แลกมา หรือเกณฑ์ที่ระบบกำหนด
ซึ่งถ้าเราไม่อยากโดนยึดเงินค้ำประกัน จะต้องวางเงินค้ำประกันเพิ่มหรืออาจคืนเงินบางส่วนแทนก็ได้
จากข้อมูลนี้จะสังเกตได้ว่า Stablecoin ทุกเหรียญประเภทนี้ถูกค้ำด้วยคริปโทเคอร์เรนซีจริง ส่งผลให้มีความโปร่งใส แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องการวางเงินค้ำประกันที่สูงเกินไป
นั่นทำให้เกิด Stablecoin ประเภทสุดท้ายคือ Algorithmic Stablecoin
หรือ Stablecoin ที่ไม่ได้อิงมูลค่ากับสินทรัพย์ใด ๆ แต่จะควบคุมโดยอัลกอริทึม ด้วยการใช้กลไกเพิ่มและลดเหรียญตามความต้องการใช้งาน เพื่อให้ราคาคงที่
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่าง UST เป็น Algorithmic Stablecoin ของ Terra Blockchain จะไม่ได้เกิดจากเงิน Fiat หรือคริปโทเคอร์เรนซีอื่น ๆ ค้ำประกัน แต่เกิดจากการนำ LUNA เหรียญที่ผันผวนเหมือนเหรียญทั่วไป มา Burn หรือทำลายลง เพื่อ Mint หรือผลิต UST ขึ้นมาแทน
ปกติแล้ว LUNA มีราคาเท่าไร UST ที่ผลิตได้ก็จะมีจำนวนเท่านั้น
เช่น หาก LUNA มีราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถผลิต UST ได้ที่ 5 เหรียญ
ซึ่งถ้า LUNA มีราคาเพิ่มขึ้นมาที่ 10 ดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถผลิต UST ได้ที่ 10 เหรียญ
จากกลไกนี้ ทำให้ช่วยสร้างสมดุลราคาของ UST ให้ตรึงไว้ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐไว้ได้
เพราะว่าถ้า UST มีราคาเกินกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ จะมีคนมาทำอาร์บิทราจ ด้วยการ Burn เหรียญ LUNA ทิ้งเพื่อเอา UST มาเทขายในตลาด
ในทางกลับกันหาก UST ราคาต่ำกว่า 1 ดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมีคน Burn เหรียญ UST เพื่อเอา LUNA กลับคืนมา ซึ่งเป็นการลดจำนวนเหรียญ UST ลง ให้ราคาดีดกลับมาที่เดิม
แต่ Stablecoin กลุ่มนี้มักจะมีปัญหาด้านราคาผันผวน หากแพลตฟอร์มที่ปล่อยเหรียญมีระบบไม่แข็งแกร่งพอ และมีผู้ต้องการใช้งานเหรียญจำนวนมากพร้อม ๆ กัน
จึงเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ Stablecoin ไม่สามารถรักษาความเสถียรของมูลค่าได้ เช่น ราคา UST ก็เคยตกลงไปเหลือ 0.8 ดอลลาร์สหรัฐ จากช่วงที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีตกอย่างรุนแรง ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
หรือ IRON ที่เป็น Stablecoin ของ Iron Finance แพลตฟอร์ม DeFi เคยเจอเหตุการณ์จากราคา 1 ดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเหลือเพียง 0.74 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้เห็นได้ว่า
การบริหารความเสี่ยงที่ดี คงไม่ใช่แค่การถือ Stablecoin เหรียญใดเหรียญหนึ่งเท่านั้น เพราะจะเห็นได้ว่า Stablecoin แต่ละสกุลจะมีจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป
การกระจายการถือ Stablecoin ในหลายเหรียญ อาจเป็นทางเลือกที่สามารถลดความเสี่ยงจากการที่เหรียญใดเหรียญหนึ่งประสบปัญหาได้ เพราะเราต้องคิดไว้เสมอว่าเหรียญ Stablecoin ที่คนสร้างคาดหวังให้มันเป็นเหรียญคงที่ แต่ในช่วงเวลาพิเศษ มันก็อาจจะไม่คงที่ได้ เช่นกัน..
╔═══════════╗
เพียงเปิดและผูกบัญชีเทรดหุ้นผ่าน Radars Point และเทรดผ่าน StockRadars ได้ Point ถึง 2 ต่อ
👉🏻 ต่อที่ 1 รับทันที 88 Point! เมื่อเปิดบัญชีเทรดหุ้นผ่าน Radars Point โดยสามารถสมัครออนไลน์ได้ทันที
👉🏻 ต่อที่ 2 รับ Point คืน 7% จากค่าธรรมเนียม เมื่อเทรดผ่าน StockRadars หลังจากผูกบัญชีเรียบร้อยแล้ว
เปิดบัญชีผ่าน Radars Point ที่ > https://bit.ly/3EEOz9C
ผูกบัญชีได้ที่นี่ > https://bit.ly/3nWFJxU
ใครผูกบัญชีหลักทรัพย์เรียบร้อยแล้ว สามารถร่วมสนุกรับต่อที่ 2 ดาวน์โหลด
แอปพลิเคชั่นเทรดผ่าน StockRadars ได้เลย! > https://bit.ly/39maZhx
ตั้งแต่วันนี้ - 31 ต.ค. 64
#RadarsPoint #StockRadars #ลงทุนง่ายๆไม่ต้องใช้เงิน #ทำเรื่องหุ้นเป็นเรื่องง่าย
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.coingecko.com/en/coins/iron
-https://coinmarketcap.com/currencies/terrausd/
-https://www.blockdit.com/posts/6086067564a1bf0c3559db1d
-https://cointelegraph.com/altcoins-for-beginners/stablecoins-101-what-are-crypto-stablecoins-and-how-do-they-work
-https://www.efinancethai.com/Fintech/FintechMain.aspx?release=y&name=ft_202104091432
-https://www.investopedia.com/terms/s/stablecoin.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Dai_(cryptocurrency)
defi coins 在 呂漢威理財實戰室 Facebook 的最讚貼文
defi coins 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุปเรื่อง “Govcoins” คริปโทแห่งรัฐ เมื่อทุกคนฝากเงินตรง เข้าแบงก์ชาติ /โดย ลงทุนแมน
คริปโทเคอร์เรนซีกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการการเงินมากขึ้น
ทั้งจากการเป็นสินทรัพย์ทางเลือกและการเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยลดทั้งต้นทุนและเวลาสำหรับการทำธุรกรรม
ปัจจุบัน คริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกก็คือ บิตคอยน์ มีมูลค่า
มากถึง 34 ล้านล้านบาท ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเป็นอันดับที่ 8 ของโลก
เมื่อไม่นานมานี้ นิตยสาร The Economist ได้ตีพิมพ์บทความ Govcoins: The digital currencies that will transform finance หรือ Govcoins สกุลเงินดิจิทัลที่จะปฏิวัติอุตสาหกรรมการเงิน
ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นแนวคิดเกี่ยวกับสกุลเงินที่ออกโดยรัฐบาล
เพื่อที่นำมาคานอำนาจของตนให้คงอยู่
แล้ว Govcoins คืออะไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Govcoins ย่อมาจาก Government หรือรัฐบาล
รวมกับ Coins หรือเหรียญ รวมกันเป็นคริปโทแห่งรัฐ
ซึ่งมีผู้ออกและกำกับดูแลโดยรัฐบาลหรือธนาคารกลางของแต่ละประเทศ
ที่ผ่านมา เราจะได้เห็นการเติบโตของ “Decentralised Finance” หรือ “DeFi”
นวัตกรรมทางการเงินแบบไร้ศูนย์ที่ถูกขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีบล็อกเชน
รวมถึงแพลตฟอร์มทางการเงินทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัลและแอปพลิเคชัน
สำหรับรับชำระบนโลกนี้ เช่น PayPal, Ant Group, Grab และ Visa
มีฐานผู้ใช้งานรวมกันกว่า 3 พันล้านคน
คิดเป็นเกินกว่า 1 ใน 3 ของประชากรทั้งโลก
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ได้เข้ามาลดทอนอำนาจในการควบคุมเสถียรภาพ
ทางการเงินของขั้วอำนาจเดิม คือธนาคารกลางไปอย่างสิ้นเชิง
นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิดของ “Govcoins”
Govcoins จะเข้ามาเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้แทนเหรียญและธนบัตรในแต่ละประเทศ
ซึ่งเราก็สามารถนำไปใช้จ่ายในการซื้อของได้ตามปกติ
แต่กลไกที่ต่างกันระหว่าง Govcoins กับระบบเงินตราในปัจจุบัน
ก็คือ แทนที่เราจะต้องมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์
Govcoins จะเป็นบัญชีเงินฝากของเรา ที่ทำกับ “ธนาคารกลาง”
โดยธนาคารกลางจะเป็นผู้เข้ามามีบทบาท
ในการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับรับชำระเงินรวมถึงรับฝากเงิน
ไม่ต่างอะไรไปจากแอปพลิเคชันการเงินที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
เช่น แอปธนาคารหรือแอปกระเป๋าเงินดิจิทัล
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
คอนเซปต์ของ Govcoins เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น
เมื่อรัฐบาลและธนาคารกลางแต่ละประเทศต่างตื่นตัว
เพราะตนเองมีแนวโน้มจะเสียอำนาจควบคุมระบบเงินตราในประเทศ
เพราะตั้งแต่ในอดีต ธนาคารกลางจะคอยควบคุมเศรษฐกิจ
โดยการปรับใช้นโยบายการเงิน ผ่านเหล่าสถาบันการเงิน
เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหรือการกำหนดอัตราเงินสด
ที่ต้องสำรองไว้สำหรับธนาคารพาณิชย์
ดังนั้นหากผู้คนย้ายการชำระ การฝากเงิน หรือการกู้ยืมเงินจากธนาคาร
ไปสู่โลกดิจิทัลที่ถูกดำเนินและควบคุมโดยเอกชนหลายราย
มันก็จะทำให้ธนาคารกลางจัดการกับวัฏจักรเศรษฐกิจได้ยากขึ้น
และโลกดิจิทัลที่ไม่มีการควบคุม ก็อาจเป็นช่องว่าง
ให้เกิดการฉ้อโกงรวมถึงการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล
อีกเหตุผลหนึ่งที่จะสนับสนุนให้ Govcoins มีความเป็นไปได้มากขึ้น
ก็คือ การรักษาเสถียรภาพในระบบการเงิน
แม้ว่าเงินจะถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่กักเก็บความมั่งคั่งของเราเอาไว้ได้ดีที่สุด และยังเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
แต่เมื่อผู้ที่ถือกุมบัญชีของคนทั้งประเทศอยู่ยังคงเป็นธนาคารพาณิชย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชน
เวลาบริษัทเหล่านี้ประสบปัญหา เงินที่ควรจะกักเก็บความมั่งคั่งของประชาชนเอาไว้
อาจจะหายไปทั้งหมด เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับ Lehman Brothers ที่ได้ล้มละลาย
ในช่วงวิกฤติซับไพรม์ในอดีต
ในขณะเดียวกัน ค่าธุรกรรมทางการเงินภายใต้ Govcoins มีแนวโน้มที่จะถูกลง
เพราะธนาคารกลางไม่จำเป็นต้องสร้างกำไรเหมือนกับเหล่าสถาบันการเงินเอกชน
อีกหนึ่งความได้เปรียบก็คือธนาคารกลางและรัฐบาลร่วมมือกันได้ง่าย
สามารถร่วมมือกับรัฐบาลในการอัดฉีดเงินไปสู่ประชาชนได้ทันที
ซึ่งหาก Govcoins สำเร็จ มีการคาดการณ์กันว่า
จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมการเงินเฉลี่ย 11,000 บาทต่อคนต่อปี
และทำให้ผู้คนที่ยังไม่มีบัญชีเงินฝาก สามารถเข้าถึงได้อีกด้วยประมาณ 1.7 พันล้านคน
จากประโยชน์เหล่านี้ จึงทำให้ธนาคารกลางจาก 50 กว่าประเทศทั่วโลก
กำลังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง เช่น ประเทศจีนเปิดตัว e-yuan
โดยมีผู้ทดลองใช้แล้ว 500,000 คน
แม้แต่สหรัฐอเมริกาที่กำลังสร้าง e-dollar
หรืออังกฤษเองก็เปิดองค์กรสำหรับศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ ทำให้เราสรุปได้ว่าแนวคิดของ Govcoins
เป็นหนึ่งในไอเดียที่มีความเป็นไปได้และสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ทันที
เพราะนับเป็นการนำความเชื่อมั่นของทั้งประเทศไปผูกเอาไว้กับสกุลเงิน
ทั้งนี้ Govcoins ก็อาจจะถูกนำไปใช้ในเรื่องของการควบคุมความประพฤติ
ของพลเมืองในประเทศในรูปแบบของค่าปรับอิเล็กทรอนิกส์ ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อแนวคิดนี้ได้ลดทอนความสำคัญของ “ธนาคารพาณิชย์” ลง
มันก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาบางอย่างตามมาได้ในอนาคต เช่นกัน
เพราะหากว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมย้ายเงินฝากจากธนาคารพาณิชย์ไปยังธนาคารกลางมากขึ้น นั่นหมายความว่าแหล่งของเงินทุนที่ธนาคารเหล่านี้จะนำไปปล่อยกู้ก็จะมีปริมาณที่ลดลง เช่นกัน
และเมื่อการปล่อยเงินกู้สู่ระบบเศรษฐกิจลดลง
การเติบโตของเศรษฐกิจทั้งระบบก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย
เท่ากับว่าธนาคารพาณิชย์อาจจะต้องหาแหล่งเงินทุนใหม่เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้ได้ตามเดิม
ซึ่งก็เป็นไปได้ว่า แหล่งเงินทุนของธนาคารพาณิชย์ จะเปลี่ยนจากเงินฝากของลูกค้า ไปเป็น การกู้เงินจากธนาคารกลางเป็นหลัก
ก็น่าติดตามกันต่อไปว่าแนวคิดของ Govcoins จะเป็นอย่างไร
ธนาคารกลางจะช่วยรักษาขั้วอำนาจเดิมได้หรือไม่ แล้วธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบขนาดไหน อีกไม่นาน เราก็น่าจะได้รู้ไปพร้อม ๆ กัน
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดที่ นิตยสาร The Economist บอกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตกับหลายประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว ในตอนนี้ กระเป๋ารับฝากเงินของรัฐ ได้เกิดในประเทศไทยแบบเนียน ๆ ไปเรียบร้อยแล้วแบบที่เราไม่รู้ตัว ลองหยิบสมาร์ตโฟน แล้วกดแอปนั้นขึ้นมา แอปนั้นมีชื่อว่า เป๋าตัง นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.economist.com/finance-and-economics/2021/05/06/will-going-digital-transform-the-yuans-status-at-home-and-abroad
-https://www.economist.com/special-report/2021/05/08/a-future-with-fewer-banks
defi coins 在 TOP Defi Picks & 100x MOONSHOT Coin!! - YouTube 的價格和怎麼買
... <看更多>